วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อานุภาพพระเดชพระคุณหลวงปู่จากประเทศฝรั่งเศส

    

     เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากกัลยาณมิตรสายหยุด ลัตท์ และ คุณอัลเฟรด ลัตท์  ดิฉันชื่อ สายหยุด ลัตท์ อายุ 41 ปี สามีของดิฉันชื่อ อัลเฟรด ลัตท์ สามีชาวฝรั่งเศส อายุ 40 ปีดิฉันมาวัดพุทธสตราสบูร์กตั้งแต่ ปี 46 จึงได้เข้าโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันทางไกล
    เวลานั่งสมาธิ แต่ก่อนนั่งได้ 15-20 นาทีก็ปวดขาแล้ว แต่ตั้งแต่วันครูธรรมกายปีนี้ ดิฉันเริ่มนั่งได้นานขึ้น พอวางใจสบายๆ ไม่คิดอะไรสักพัก ก็จะรู้สึกตัวเบาลอย เหมือนไม่มีแขน ไม่มีขา มีความสุข โล่งโปร่งอย่างบอกไม่ถูก
    วันหนึ่งดิฉันนั่งแบบอยากเห็นดวงแก้ว แต่อยากเท่าไรก็ไม่เห็น  พอได้ยินเสียงพระอาจารย์บอกว่า ให้ทำใจสบายๆ ไม่คิดอะไร ดิฉันจึงเปลี่ยนวิธี นั่งเฉยๆ เอาสบาย ไม่คิดอะไร  แล้วก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่บอกให้นึกจุดตัดเท่ากับปลายเข็มตรงกลางท้อง วางใจตรงนั้น ผ่านไปสักพัก ดิฉันก็เห็นแสงสีขาวเย็นๆ ขึ้นมาจากกลางกาย แล้วก็เห็นดวงขาวใส ผุดซ้อนขึ้นมา จากดวงเล็กๆ ก็ซูมเข้ามาใหญ่ขึ้นเท่าตัว แล้วก็มีดวงใหม่เกิดขึ้นมา เป็นอย่างนี้จนออกจากสมาธิ น้ำตาของดิฉันไหลออกมา โอ...นี่เราเห็นแค่ดวง ก็สุขมากขนาดนี้แล้วหรือนี่
    ดิฉันสอน อัลเฟรดให้นั่งสมาธิด้วย เขาเห็นใบหน้าของพระเดชพระคุณหลวงปู่ที่กลางท้อง เขามีความสุข เบา สบาย ตลอดเลยค่ะ
    ดิฉันรักพระเดชพระคุณหลวงปู่มาก เห่อหลวงปู่สุดๆ หนังสือเล่มไหนมีรูปท่าน ก็จะรีบตัดมาใส่กรอบมาไว้ที่สูงๆในบ้าน จะนั่งนอนยืนเดิน หายใจเข้าออก ก็จะเห็นภาพหลวงปู่ติดตา ที่บ้านของดิฉันก็มีรูปท่าน ในรถก็มี ตัวเองก็ห้อยพระหลวงปู่ ขนาดนอนก็ยังฝันเห็นหลวงปู่  ดิฉันมีอานุภาพหลวงปู่ที่พบกับตัวเอง ซึ่งทั้งอึ้ง ทึ่ง มหัศจรรย์ มาเล่าให้ฟังค่ะ... 


    ในวันจันทร์ (คริสต์มาส) ที่ 25 ธ.ค. 49 เพื่อนกัลยาณมิตรของดิฉันคนหนึ่งซึ่งอยู่เยอรมัน ได้นิมนต์พระอาจารย์ไปทำบุญที่บ้าน ดิฉันและสามีจึงได้ขับรถข้ามประเทศไปร่วมด้วย ปกติก่อนขับรถดิฉันจะอาราธนาหลวงปู่ให้คุ้มครอง และพอถึงจุดหมายก็จะไหว้ขอบพระคุณหลวงปู่ที่คุ้มครอง วันนั้นทั้งดิฉันและสามี มีเหรียญหลวงปู่ติดตัวคนละเหรียญ 
    ขากลับเป็นเวลากลางคืน ดิฉันก็เป็นผู้ขับรถกลับฝรั่งเศส โดย อัลเฟรด นั่งข้างๆ ซึ่งเส้นทางนี้เป็นถนนของเยอรมัน ดิฉันไม่คุ้นเคย แถมเป็นภูเขา ต้องขึ้นลงตลอด ตอนนั้นดวงตะวันก็ตกดินไปแล้ว ที่สำคัญหมอกลงจัดมาก ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าเพียงแค่ 20 เมตร ดิฉันจึงต้องให้สามีคอยมองป้ายบอกทางที่เลี้ยวไปฝรั่งเศส  ตอนนั้นดิฉันขับที่ 110 กม/ช.ม ซึ่งถูกตามกฏทุกประการ  โดยดิฉันขับเลนขวาสุด (ซึ่งเป็นเลนที่ช้าที่สุด) ดิฉันหันไปทางขวามือ เห็นเป็นเหวตลอดทาง  จนดิฉันวิ่งมาถึงป้ายบอกว่าจะมีทางแยกเลี้ยวเข้าฝรั่งเศสอีก 1 กิโลเมตร ดิฉันก็เริ่มจับเวลาเตรียมหาทางแยกนั้น แปลกมากค่ะ ดิฉันขับเลยจากป้ายนั้นประมาณ 15-20 นาทีก็แล้ว จึงเริ่มสังหรณ์ใจ จังหวะนั้นเอง ดิฉันก็ต้องตกใจมาก เพราะในระยะ 20 เมตรที่เห็นข้างหน้า เป็นกำแพงกั้นขนาดใหญ่กั้นด้านหน้า เสี้ยววินาทีที่ต้องตัดสินใจ ระหว่างจะพุ่งชนกำแพง หรือจะหักหลบขวา เพื่อลงเหว ตอนนั้นดิฉันตัดสินใจหักพวงมาลัยหลบขวา เพราะกลัวกำแพง
    ตอนนั้นอัลเฟรด ร้องเสียงหลงดังลั่น ดิฉันก็ตกใจก็ร้องกรี๊ดตามไปด้วย ความรู้สึกมันเหมือนเรา Shock ไปเลย คิดว่าเราตายแน่ๆ แล้วความรู้สึกของดิฉันก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อดฉันได้ยินเสียงอัลเฟรดค่ะ อัลเฟรด พูดออกมาเป็นภาษาไทย ว่า “ขอบคุณครับหลวงปู่ ขอบคุณที่ช่วยผมครับ ขอบคุณมากๆครับ” พร้อมกับพนมมือท่วมหัว ส่วนตัวดิฉันกำลังหาย Shock มือไม้ยังสั่นอยู่ งงว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน เรารอดตายจริงๆหรือนี่


    สักครู่ดิฉันก็ได้ยินเสียงแตรรถด้านหลัง กำลังบีบแตรไล่ดังลั่น ดิฉันถึงเห็นว่ารถของดิฉันกำลังหยุดนิ่งอยู่บนถนนสายหนึ่ง ซึ่งเป็นเส้นทางมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส  แถมอยู่ใน Lane ที่ถูกต้อง พอลูกตั้งสติได้ก็ค่อยๆ เอามือสั่นๆ ใส่เกียร์ประคองรถ วิ่งต่อได้โดยรถไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน    
    ความรู้สึกตอนนั้น สุดจะบรรยายเลยค่ะ เหมือนมีใครมา ยกรถเรามา แถมเอามาวางไว้ตรงทางแยกกลับฝรั่งเศสพอดิบพอดี ทั้งที่เราขับเลยมาไกลมากแล้ว เรางงคันเดียวไม่พอ รถที่บีบแตรไล่เราก็งงด้วย เพราะเขาก็ขับของเขามาดีๆ แล้วทำไมอยู่ๆรถของดิฉันก็มาจอดอยู่ข้างหน้าเขา บางคันก็ขับมาใกล้ๆดิฉัน แล้วเปิดกระจกส่องมาดูดิฉันด้วย ตอนนั้นทั้งดิฉันและ อัลเฟรด ต่างคนต่างไม่พูดอะไร อยู่ภาวะ After shock นั่งตะลึงกันมาตลอดทางจนถึงบ้านโดยปลอดภัย  
    อีก 3 วัน ถัดมา เมื่อวันพฤหัส 28 ธ.ค. 49 ดิฉันก็ขับรถเก๋งคันเดิม ไปวัดพุทธสตราสบูรส์ มีอัลเฟรดเป็นคนนั่ง โดยลูกวิ่งอยู่เลนขวาสุด วิ่ง 110 กม/ชม เท่าเดิม พอถึงจุดเกิดเหตุ นาทีระทึกใจก็มาถึง เพราะดิฉันเห็นมาแต่ไกลว่ามีรถบรรทุก ซึ่งมีขนาดใหญ่ และยาวขนาดรถบรรทุกเมืองไทย 3 คันต่อกัน เป็นรถพ่วง คนขับจอดทำธุระอยู่ตรงไหล่ทางด้านขวา ตอนนั้นลูกคิดว่าเรามาทางเอก มั่นใจว่าอย่างไรก็ไม่เป็นไร แต่นั่นเป็นเพียงแค่สิ่งที่ดิฉันคิด เพราะคนขับรถบรรทุกเขาก็มั่นใจของเขาว่า ดิฉันเป็นรถเก๋งคงจะหยุดให้เค้า
    คนขับรถบรรทุกตัดสินใจเปิดไฟขอทางแล้วหักหัว ออกตัวมาจากไหล่ทางขึ้นมาบน Lane ของดิฉันทันที ดิฉันตกใจมาก เพราะ รถ Lane หนึ่งจะมีความกว้างพอเหมาะกับรถเพียง 1 คันเท่านั้น ถ้าดิฉันเบี่ยงไปทางซ้ายก็จะชนกับรถที่จะวิ่งขนานมา  ถ้าเบรก รถต้องตีลังกาหรือถูกคันหลังซึ่งกำลังตามมาชน ดิฉันจึงตัดสินใจขับตรงอย่างเดียวไปเลย ไม่หักไม่ทำอะไรทั้งสิ้น  ตอนนั้นรถบรรทุกนั้นขึ้นมาครึ่ง Lane แล้ว รถของดิฉันฝั่งอัลเฟรด (คนนั่ง) จึงต้องเป็นจุดที่รถบรรทุกพุ่งเข้าปะทะแน่ๆ
    เราทั้ง 2 Shock จนหยุดหายใจ คิดว่าตูมแน่ อยู่ๆแทนที่จะได้ยินเสียงตูม ดิฉันกลับได้ยินเสียงเป่าปากของอัลเฟรด พร้อมเสียงถอนหายใจ แล้วอัลเฟรดก็ตะโกนว่า “เราข้ามมาแล้วๆ” ดิฉันก็ “อ้าว เรารอดมาได้ไง เราข้ามมาได้ไง” รถไม่เป็นอะไรเลยค่ะ เหมือนกับข้ามไปอีกมิติ  รถบรรทุกนั้นยังเปิดไฟกะพริบตามหลังรถดิฉันที่ทะลุมา ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าเค้าเป็นห่วง ถามว่า “ทะลุไปได้ไง” หรือด่าตามหลังกันแน่  
    อัลเฟรด มองไปที่รูปหลวงปู่ แล้วยกมือไหว้ท่วมหัวบอกว่า “หลวงปู่ช่วยเราอีกแล้ว ต่อไปผมจะไม่หยุดทำความดี สิ่งไหนเป็นความดี จะทำเพื่อหลวงปู่” ลูกก็นึกถึงหลวงปู่ทันทีบอกว่า “ขอบคุณค่ะหลวงปู่” ลูกขอบคุณอย่างสุดหัวใจ สิ่งนี้ถ้าไม่เจอกับตัวก็ยากที่จะเชื่อ หลวงปู่ติดตามคุ้มครองเราไปทุกที่ ลูกจะไม่ท้อถอยในการสร้างบารมี และทำหน้าที่กัลยาณมิตรอย่างเต็มที่ตลอดไปเจ้าค่ะ

อานุภาพของหลวงปู่สด

    มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับอานุภาพของหลวงปู่ซึ่งผู้ที่ไปวัดพระธรรมกายจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอานุภาพของหลวงปู่ ดิฉันจะขอเอาประสบการณ์จากสิ่งที่ดิฉันประสบหรือได้ยินมา มาบอกเล่าเพื่อเป็นกัลยาณมิตรที่ดีในการชักชวนผู้ใจบุญเข้าวัด ขอทุกท่านจงอนุโมทนาบุญกับข้าพเจ้าด้วย บางครั้งการพูดหรือเขียนอาจไม่สามารถทำให้คุณเชื่อได้ แต่คุณจงลองไปสัมผัสด้วยตนเองแล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเขียนนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะค่ะ วันนี้ดิฉันมีเรื่องจริงเกี่ยวกับอานุภาพของหลวงปู่มาให้ท่านได้รับชมอีกหนึ่งเรื่อง


 



วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นจริง

     พระมงคลเทพมุนี หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ คือ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า     ซึ่งสูญหายไปเมื่อประมาณพ.ศ. ๕๐๐ กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยการสละชีวิตปฏิบัติธรรมถึง ๒ คราว     จนเข้าถึงพระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกายจนเกิดความเชี่ยวชาญ แล้วได้มุ่งมั่น เผยแผ่    พระพุทธศาสนา และวิชชาธรรมกาย จนตลอดชีวิตของท่าน  ท่านคือจอมทัพธรรม ผู้นำในการสร้างบารมีเพื่อไปสู่ที่สุดแห่งธรรม     โดยท่านตั้งความปรารถนาจะค้นคว้าวิชชาธรรมกายไปให้ถึงที่สุด ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจาก    การเป็นบ่าว เป็นทาสของพญามาร เอาชนะให้ได้เด็ดขาด เมื่อท่านเข้าถึงพระธรรมกายแล้ว ท่านมุ่งมั่นในการนั่งเจริญภาวนาเพื่อไปให้ถึงที่สุด เมื่อยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งลึกซึ้ง จนกระทั่งออกพรรษาและรับกฐินแล้ว ท่านจึงได้ลาเจ้าอาวาสวัดโบสถ์บนไปพักที่วัดบางปลาซึ่งท่านเห็นในสมาธิว่าจะมีผู้บรรลุธรรมกาย ตามอย่างท่านได้ ท่านได้สอนภาวนาที่วัดบางปลา จนมีพระภิกษุผู้สามารถเจริญรอยตามท่านได้ ๓ รูปและคฤหัสถ์ อีก ๔ คน  เมื่อท่านรับกฐินแล้ว ท่านได้ไปปฏิบัติศาสนกิจที่วัดประตูสาร ด้วยหวังว่าจะสนองพระคุณพระอุปัชฌาย์ของท่าน แต่พระอุปัชฌาย์ท่านมรณภาพไปแล้ว หลวงปู่จึงได้อยู่แสดงธรรมเทศนาโปรดญาติโยมที่นั่นเป็นเวลา ๔ เดือน จนมีผู้ศรัทธาท่านเป็นจำนวนมาก จากนั้นท่านก็ได้เดินทางกลับวัดพระเชตุพนฯ โดยได้พาพระภิกษุ  ๔  รูปมาเรียนพระปริยัติด้วย เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ

 
    อยู่มาไม่นาน ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏก วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงปู่วัดปากน้ำ ได้ขอร้องให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งในขณะนั้นไม่มีเจ้าอาวาส ท่านจำต้องรับเพราะไม่อยากขัดใจ ท่านได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น พระครูสมุห์ฐานานุกรม มีพระติดตามมาจำพรรษาที่วัดปากน้ำด้วย ๔ รูป ณ ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญนี่เอง การปกครองดูแลวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทั้งพระภิกษุและชาวบ้านในถิ่นนั้นที่เสียผลประโยชน์ต่อต้านท่าน พวกที่ต่อต้านร่วมกันใส่ร้ายป้ายสีท่าน บ้างก็จะทำร้ายท่าน ครั้งหนึ่งมีนักเลงอันธพาล ก่อกวน เมื่อเวลาประมาณสองทุ่ม หลวงปู่วัดปากน้ำท่านปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้วก็ออกมาจากศาลาเพื่อกลับกุฏิ คนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงท่าน ถูกจีวรทะลุ ๒ รู แต่หลวงปู่ไม่เป็นอะไร ท่านมีคติว่า “พระเราต้องไม่สู้ ต้องไม่หนี ชนะทุกที่”

    ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบเข้าวัดมากและมีนิสัยส่วนตัวแล้วที่เอาแต่ใจตนเองนิสัยกร้าวร้าวไม่พอใจก็จะร้องไห้หรือกรี๊ดจนเมื่อปิดเทอมเมื่อ5ปีที่แล้ว พ่อกับแม่ทนนิสัยของฉันไม่ไหวจึงส่งดิฉันไปให้ป้าช่วยสร้างนิสัยใหม่ให้ฉัน เดิมป้าของดิฉันเป็นคนนับถือวัดพระธรรมมกายอยู่แล้วจึงได้พาดิฉันไปวัดด้วยทุกวันอาทิตย์คร่วมงานบุญใหญ่ของวัดและเปิดช่องDMCที่อยู่ในจานดาวเทียมให้ฉันดูทุกวันและที่สำคัญไม่มีช่อง Free Tv ให้ดู จากการที่ดิฉันได้ดูช่องDMCทุกวันและไปวัดสวดมนต์เข้าร่วมงานบุญใหญ่ของวัดทำให้ดิฉันเปลี่ยนเป็นคนละคนจากนั้นมาดิฉันจึงศรัธธาหลวงปู่สดมาก
    เหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่ดิฉันเจอกับตัวเองก็คือ ตอนที่ดิฉันจะกลับเชียงใหม่ด้วยรถยนต์ส่วนตัวนั้นดิฉันคุณป้าและคุณลุงได้สวดมนต์ขอพรจากหลวงปู่สดขอให้เดินทางปลอดภัยประกอบกับตอนนั้นเป็นหน้าฝนและดิฉันกลับตอนกลางคืน พอขับมาถึงอยุธยาฝนตกหนักมากหนักจนไม่เห็นรถซึ่งจะจอดข้างทางก็ไม่ได้เนื่องจากเป็นทางที่กำลังก่อสร้างและอยู่ดีที่ปัดน้ำฝนก็พัง ดิฉันตกใจมากและและที่สำคัญตอนนั้นดิฉันกับป้าและลุงยังไม่รู้อีกว่ารถไปเหยียบตะปู ป้าบอกกับดิฉันว่าลูกสวดมนต์ขอพรจากหลวงปู่เพื่อขอให้เราเดินทางกลับอย่างปลอดภัยดิฉันก็ท่อง สัมมา อาระหัง ฝนไม่ยอมหยุดตกป้าจึงขอพรกับหลวงปู่ให้ฝนหยุดตกเพราะที่ปัดน้ำฝนของลูกเสียจากนั้นขอพรเสร็จฝนก็หยุดตก เมื่อพอมาถึงลำพูนตอนตี 2 ดิฉันโดยปกติแล้วจะไม่หลับในรถดิฉันเห็นมีคนใส่ชุดขาววิ่งตัดหน้ารถซึ่งที่นั่นไม่มีไฟข้างทาง ลุงซึ่งเป็นคนขับรถเบรกไม่ทันและอยู่ดีๆลุงก็บอกว่าเหมือนมีใครบังคับมือให้หักพวงมาลัยรถหลบเองพอมาถึงเชียงใหม่ลุงก็เช็ครถและลุงหันไปเห็นตะปูซึ่งเหลือประมาณครึ่งหนึ่งติดอยู่ที่ล้อรถลุงจึงบอกกับดิฉันว่าเห็นไหมว่าปาฏิหาริย์ของหลวงปู่สดมีจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ และมีอีกหลายเรื่องที่ดิฉันประสบและพบมาถ้าอยากรู้โปรดติดตามตอนต่อไป